ค้นหา

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

นวัตกรรมของ KDD



นวัตกรรมของ KDD



ระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุค 1G หรือ “เจนเนอเรชันที่ 1 (First Generation)” คือโทรศัพท์เคลื่อนที่รุ่นเก่าระบบอนาลอก (Analog) ที่มีน้ำหนักมาก และเสาอากาศที่ยาวเทอะทะ ซึ่งได้รับความนิยมมากในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุค 2G (Second Generation) ซึ่งถูกออกแบบให้มีการรับส่งสัญญาณเสียงเป็นหลัก และสามารถส่งผ่านข้อความเนื้อหาขนาดเล็กๆได้ เช่นระบบ GSM ส่วนระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2.5G เป็นระบบที่พัฒนามาจากระบบ 2G ซึ่งสามารถรับส่งข้อมูล ด้วยระดับความเร็วสูงสุดถึง 384 เมกะบิตต่อวินาที ซึ่งเป็นระบบที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันในประเทศไทย และเป็นระบบที่สามารถเชื่อมต่อเข้ากับระบบ Internet ได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่น GPRS และ EDGE ส่วนระบบ 3G ได้พัฒนาระบบให้สามารถรองรับการส่งข้อมูลแบบมัลติมีเดีย ด้วยระดับความเร็วสูงสุดถึง 2 เมกะบิตต่อวินาที และรองรับการให้บริการต่างๆ ทั้งหมดของโทรศัพท์ยุคก่อนๆ รวมไปถึงสมรรถนะและคุณภาพของการบริการมีมากขึ้น ภายในปี ค.ศ.2010 คาดการณ์กันว่าโลกจะเปลี่ยนไปจากเดิม ทั้งรูปแบบการดำเนินธุรกิจและรูปแบบการดำเนินชีวิต ซึ่งเป็นผลมาจากวิวัฒนาการของเทคโนโลยีด้านการสื่อสารและโทรคมนาคมที่มีการแข่งขันขององค์กรชั้นนำต่างๆ เช่น Nokia, Motorola, Samsung, China Telecom, NTT DoCoMo, หรือ Vodafone เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการอันหลากหลาย มุ่งสร้างความสะดวกสบาย ทันสมัย และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค องค์กรชั้นนำระดับโลกต่างๆ ดังกล่าว ต่างทุ่มทรัพยากรในการวิจัยและพัฒนา เพื่อนำโลกเข้าสู่การติดต่อสื่อสารในยุค 3G ที่ทำให้การติดต่อสื่อสารมีความรวดเร็วขึ้น สามารถสื่อสารถึงกันได้ทั้งในรูปแบบเสียง ข้อความ ภาพ เพลง และวีดีโอคลิป ซึ่งในอนาคตอีกไม่กี่ปี ถัดจากนี้ โลกจะสามารถสื่อสารกันได้แบบ Real time และ “Anywhere Anytime Anyone” หรือเรียกว่า Ubiquitous ซึ่งเป็นเทคโนโลยีด้านการสื่อสารและโทรคมนาคมในยุค 4G





ในเดือนตุลาคมปี 2001 ชาวญี่ปุ่นกว่า 130 ล้านคน ได้สัมผัสกับเทคโนโลยี 3G ครั้งแรกกับ “FOMA“ (ย่อมาจาก Freedom of Mobile Access) ของ NTT DoCoMo ซึ่งเป็นบริการที่สามารถใช้งานช้อปปิ้งออนไลน์ (Online shopping) วีดีโอโฟน (Video phone) การทำธุรกรรมต่างๆ (Trading) ผ่านโครงข่ายยุค 3G โดยใช้เทคโนโลยี WCDMA ซึ่งเป็นเทคโนโลยีของยุโรป ต่อมาในเดือนเมษายน ปี 2002 KDDI ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดของ Operators เป็นอันดับสองในประเทศญี่ปุ่นก็เริ่มเปิดให้บริการ โทรศัพท์เคลื่อนที่ในระบบ CDMD2000-1x ซึ่งเป็นเทคโนโลยีของ Qualcomm สหรัฐอเมริกา ภายใต้แบรนด์ “au” และได้รับการตอบรับจากผู้ใช้เป็นอันมาก ส่งผลให้ปัจจุบัน KDDI มีจำนวนผู้ใช้บริการเป็นอันดับหนึ่งของเทคโนโลยียุค 3G ในประเทศญี่ปุ่น โดยรายงานตัวเลขล่าสุดในเดือนเมษายน ปี 2005 ระบุว่ามีผู้ใช้งาน เทคโนโลยี 3G ของ KDDI มากเป็นอันดับหนึ่ง ประมาณ 18.3 ล้านคน อันดับสอง คือ NTT DoCoMo ประมาณ 12.2 ล้านคน และอันดับสาม คือ Vodafone ประมาณ 1 ล้านคน เทคโนโลยีในยุคดิจิตอล ก่อให้เกิดการพัฒนารูปแบบสินค้าและบริการต่างๆ มากมาย เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และสอดคล้องกับรูปแบบการดำเนินชีวิตในปัจจุบันและอนาคต KDDI นับเป็นบริษัทผู้ให้บริการระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่มีรูปแบบบริการที่มีความหลากหลาย เช่น ความสามารถใช้งานท่องอินเตอร์เน็ตบนโทรศัพท์มือถือ, บริการช้อปปิ้งออนไลน์, วีดีโอโฟน, การทำธุรกรรมต่างๆ และการติดต่อสื่อสารภายในองค์กร (Corporate Intranet) ผ่านโครงข่ายยุค 3G โดยใช้เทคโนโลยี CDMA2000 1x ที่มีความสามารถในการส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูง และมีความปลอดภัยในการใช้งาน บริษัท KDDI นับว่าประสบความสำเร็จทางธุรกิจ Mobile Internet ได้ในเวลาอันสั้น ซึ่งเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจสำหรับ Operators ผู้ให้บริการรายต่างๆ ทั่วโลก ที่มีการปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างทันกาล และเหมาะสมกับสถานการณ์แข่งขัน โดยเฉพาะเป็นกรณีศึกษาตัวอย่างของ Operators ในประเทศไทย เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนารูปแบบบริการใหม่ๆ ที่สามารถสร้างรายได้จากบริการด้านข้อมูล (Non-voice service) เพื่อทดแทนรายได้จากบริการด้านเสียง (Voice service) ที่มีแนวโน้มลดลงเพื่อให้องค์กรสามารถดำรงอยู่รอด และแข่งขันได้ในระดับโลก ในอนาคตอันใกล้ บริษัท KDDI ซึ่งกำลังดำเนินการวิจัยและพัฒนา เพื่อนำพาองค์กรก้าวเข้าสู่การให้บริการในยุค 4G โดยได้กำหนดวิสัยทัศน์แห่งการเป็น “Ubiquitous Network Society” ด้วยสโลแกนว่า “Anytime, Anywhere, Access Any Information” คงจะสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์ และบริการใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดได้มากขึ้น ซึ่งเมื่อพิจารณาโครงการที่อยู่ระหว่างการวิจัยและพัฒนา (Research & Development) ของ KDDI แล้ว พบว่า มีการวิจัยและพัฒนาครอบคลุมทุกๆ ด้าน อาทิ บริการด้านมัลติมีเดีย (Multimedia Applications) โครงข่ายการเชื่อมโยงด้วยบรอดแบนด์ (Broadband Access and Network Infrastructure) ระบบการสื่อสารไร้สายด้วยความเร็วสูงขึ้น (Next Generation Mobile Communications) ความปลอดภัยในการใช้งาน (Security) การสื่อสารแบบ Real time ในยุค 4G (Ubiquitous Communications) โทรศัพท์เคลื่อนที่ในยุค 4G จะมีความสามารถและสมรรถนะสูงมาก ในระดับที่สามารถชมภาพวิดีโอกันแบบสดๆได้ พร้อมคุณภาพระดับ DVD ตามการเปิดเผยของซัมซุงฯ เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จ ทางซัมซุงฯได้เพิ่มบุคลากรในแผนกอาร์แอนด์ดี ส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบ 4G แล้ว มีการคาดหวังถึงความสะดวกสบายและประโยชน์ที่ผู้บริโภคจะได้รับเมื่อบริการ M-Commerce บนระบบ 4G จะเป็นที่ยอมรับและแพร่หลาย ทำให้เกิดแนวคิดมากมายในการทำ M-Commerce เข้ามาใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์สูงสุด เช่นแนวคิดเกี่ยวกับการกระจายข้อมูลออกไปในระยะใกล้ โดยมีเป้าหมายคือผู้บริโภคที่อยู่ในบริเวณนั้นๆ ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณเดินผ่านร้านขายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ คุณอาจจะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ชิ้นใหม่ ๆ ที่มีจำหน่ายในร้าน และคุณก็สามารถที่จะตรวจสอบราคาสินค้า เปรียบเทียบราคากับร้านอื่นๆ เพื่อให้ได้ราคาที่ถูกที่สุด หรือเมื่อคุณนั่งรถไฟฟ้าผ่านสถานที่ท่องเที่ยว โทรศัพท์เคลื่อนที่4G ของคุณก็จะได้รับแผนที่อิเล็กทรอนิกส์ของบริเวณนั้นบนจอของคุณ อีกทั้งข้อความโฆษณาของโรงแรมหรือที่พักที่อยู่ใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวนั้น ๆ เป็นต้น


KDDI จึงเป็นทั้งผู้สร้างและให้บริการสื่อสารข้อมูลผ่านเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ และมีการวิจัยและพัฒนาเพื่อสรรหาบริการเสริมต่างๆ (Value Added Service) เป็นการกระตุ้นให้ผู้บริโภคมีพฤติกรรมใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่มากขึ้น ในขณะที่อัตราค่าบริการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ ไม่ว่าจะเป็นค่าบริการรายเดือนหรือค่าใช้โทรศัพท์นั้นมีแต่จะลดลงเรื่อย ๆ ตามสภาวะการแข่งขันทางการตลาด ที่เกิดขึ้นกับ Operators ต่างๆ ทั่วโลก เช่น กรณีสงครามด้านราคาระหว่างผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้ง 3 รายในประเทศไทย ส่งผลให้ Operators ต่างต้องมีการปรับตัวเพื่อการแข่งขันและอยู่รอด KDDI ตระหนักดีว่าวิวัฒนาการด้านเทคโนโลยีการสื่อสารและโทรคมนาคมในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีบางอย่างอาจมีอายุเพียงแค่ชั่วขณะ และถูกแทนที่โดยเทคโนโลยีอื่นๆ ที่โดดเด่น ก้าวล้ำนำสมัยกว่า ดังนั้น KDDI จึงมุ่งมั่นทำการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างนวัตกรรม โดยให้ความสำคัญต่อการจัดตั้งศูนย์วิจัย และพัฒนาของตนเองร่วมกับให้ความร่วมมือกับองค์กรอื่นๆ ทั้งภายในและต่างประเทศ เพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการอย่างเป็นระบบอันจะนำมาซึ่งความได้เปรียบในการแข่งขันและก้าวตามทันการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยมีการคำนึงถึงปัจจัยด้านต้นทุน และความสามารถในการจัดการ เพื่อนำเสนอเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดแก่ลูกค้า ณ ราคาที่เหมาะสม อุตสาหกรรมสื่อสารโทรคมนาคมมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วและรุนแรง วงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มีอายุสั้นมาก มีการแข่งขันกันออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้ผู้ผลิตและผู้ให้บริการต้องหาทางปรับตัวและพัฒนาความสามารถทางการแข่งขัน ผู้ผลิตต้องพยายามคิดค้นประดิษฐ์กรรมใหม่ ที่หลากหลาย เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกที่กำลังก้าวย่างเข้าสู่ Economy of Scope ซึ่งจำเป็นต้องใช้เงินทุนในการสนับสนุนเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D)








วิดีโอคอนเฟอเรนซ์ (Video Conference)













วิดีโอคอนเฟอเรนซ์ (Video Conference)



สภาพบ้านเมืองในปัจจุบันมีปัญหาใหญ่หลายที่จะต้องแก้ไข คือ ปัญหาจราจรติดขัดในเมืองใหญ่ ปัญหาการเดินทางเป็นปัญหาใหญ่และเพิ่มขึ้นทุกวัน เมื่อพบปะหน้าตากันก็จะต้องถามว่าใช้เวลาในการเดินทางเป็นอย่างไรบ้าง การเสียเวลาไปในการเดินทางจึงทำให้ระบบสื่อสารโดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือในเมืองไทยขายดิบขายดีสำหรับงานที่สำคัญด้วยแล้วเวลาเป็นสิ่งมีค่า ผู้บริหารระดับสูงมีความจำเป็นต้องเร่งรีบประชุมตัดสินปัญหา การประชุมระยะไกลจึงเป็นสิ่งที่หลาย ๆ บริษัทให้ความสนใจที่อยากจะนำมาใช้เทคโนโลยีการสื่อสารข้อมูลทำให้สามารถส่งภาพ เสียง ได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเรื่องของวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ เป็นเทคโนโลยีที่สำคัญกลับได้รับการกล่าวขวัญถึง มีแนวโน้มที่จะนำมาแก้ปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ได้อย่างดี


การประมวลผลภาพวิดีโอ


การแพร่ภาพวิดีโอหรือการส่งสัญญาณโทรทัศน์มีมากกว่าห้าสิบปีแล้ว พัฒนาการของการแพร่ภาพเริ่มต้นจากการส่งภาพขาวดำ ต่อมานำสัญญาณสีมาใช้ร่วมแต่เมื่องคอมพิวเตอร์เจริญก้าวหน้าขึ้น การประมวลผลสัญญาณก็เริ่มเปลี่ยนจากอานาล็อกมาเป็นดิจิตอล ภาพวิดีโอที่เห็นเป็นภาพขนาด 625 เส้น ที่จะต้องส่งให้ได้ไม่น้อยกว่า 25 เฟรมในหนึ่งวินาที และถ้าต้องการเปลี่ยนสัญญาณภาพแบบอานาล็อกให้เป็นดิจิตอลจะต้องใช้แถบสัญญาณดิจิตอลถึง 90 ล้านบิตต่อวินาที การที่จะส่งสัญญาณดิจิตอลที่เป็นข้อมูลขนาด 90 เมกะบิตต่อวินาทีจึงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะข่ายสื่อสารส่วนใหญ่เป็นข่ายสัญญาณข้อมูลความเร็วต่ำมีการพัฒนาการที่รวดเร็วและก้าวหน้าจนในปัจจุบันสามารถผลิตชิพที่ทำงานตามอัลกอริทึมได้ซับซ้อนยิ่งจนระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์เป็นจริงขึ้นได้


หัวใจสำคัญของวิดีโอคอนเฟอเรนต์อยู่ที่โคเด็ก (Codec)

Codec เป็นคำย่อมาจาก Code และ Decode คือ การเข้ารหัสและการถอดรหัสจากข้อมูลภาพที่มีจำนวนเส้น 625 เส้น 25 เฟรมต่อวินาที (กรณีสัญญาณ PAL) เมื่อแปลงเป็นสัญญาณดิจิตอลแล้วจะต้องเปลี่ยนกลับเป็นพิกเซลหรือจุดสี ปัญหามีอยู่ว่าจะใช้พิกเซลเท่าไรดี ตามมาตรฐาน CCITT H.261 ซึ่งเป็นมาตรฐานสำคัญที่กำหนดในเรื่องการเข้ารหัส กำหนดจำนวนเส้นใช้เพียง 288 เส้น แต่ละเส้นมีความละเอียด 352 พิกเซล นั่นหมายถึงได้ความละเอียดเท่ากับ 352x288 พิกเซล เรียกฟอร์แมตการแสดงผลนี้ว่า Common Intermediate format และยังยอมให้ใช้ความละเอียดแบบหนึ่งในสี่ คือลดจำนวนเส้นเหลือ 144 เส้น และพิกเซลหรือ 176 พิกเซล ซึ่งขึ้นอยู่กับขนาดของจอภาพ ถ้าใช้จอภาพขนาดเล็กจำนวนพิกเซลก็ลดลงไปได้
ที่สำคัญอยู่ที่หลักการการบีบอัดข้อมูลภาพ การบีบอัดข้อมูลภาพทำให้ลดขนาดข้อมูลภาพได้มาก แต่ต้องทำอย่างรวดเร็วเพื่อภาพที่ส่งจะไม่มีการหน่วงเวลา การประมวลผลภาพนี้จึงมีวิธีการทั้งทางด้านการประมวลผลขั้นต้น และการประมวลผลชดเชยไปยังด้านรับ ที่สำคัญคือใช้หลักการเปรียบเทียบภาพสองเฟรมติดกัน แยกส่วนแตกต่างแล้วจึงนำส่วนแตกต่างเข้ารหัสแล้วส่งไป การแยกส่วนแตกต่างของสองเฟรมติดกันนี้ ทำให้ลดขนาดข้อมูลภาพลงไปได้มาก เพราะภาพวิดีโอที่เป็นภาพเคลื่อนไหว จะมีส่วนต่างของข้อมูลภาพในสองเฟรมติดกันไม่มาก และวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ก็เป็นภาพที่ไม่ตัดต่อจากหลายกล้องนัก จึงทำให้วิธีการประมวลผลโดยแยกความแตกต่าง จึงเป็นสิ่งที่เหมาะสม มีการสร้างชิพเพื่อกระทำในเรื่องการเข้ารหัสเฉพาะเพื่อความรวดเร็วการส่งสัญญาณวิดีโอคอนเฟอเรนซ์เป็นการโต้ตอบกันสองทิศทาง ดังนั้นจะมีเสียงสะท้อนเกิดขึ้นอย่างมากมาย การสะท้อนเกิดจากการป้อนกลับของสัญญาณไปมา เช่น เสียงจากลำโพงป้อนกลับเข้าไมโครโฟนกลับไปมา คำที่เราได้ยินเสียงหอนในห้องประชุม ดังนั้นการประมวลผลสัญญาณจะมีเทคนิคพิเศษที่เรียกว่า การกำจัดเสียงสะท้อน (Echo Concellation)


โครงสร้างระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์


วิดีโอคอนเฟอเรนซ์ที่ใช้กันอยู่ในขณะนี้มีหลายระดับหลายรูปแบบและหลายเทคนิค วิดีโอคอนเฟอเรนซ์ทั่วไปมีหลักการที่จะต้องลดขนาดภาพและเสียงลงให้เหลือเพียงไม่มากแล้วส่งในสายสัญญาณที่มีแถบกว้างไม่มากนัก ระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ทั่วไปมีโครงสร้างช่องสื่อสารที่ใช้เป็นช่องสื่อสารแบบสองทิศทาง (ฟูลดูเพล็กซ์) ซึ่งมีความเร็วจำกัด โดยมีอุปกรณ์เข้ารหัสที่สำคัญเรียกว่าโคเด็ก เป็นตัวเข้ารหัสสัญญาณที่ส่งต่อ
อุปกรณ์ประกอบที่สำคัญของวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ในระบบประกอบด้วย
1. กล้องโทรทัศน์ปรับส่วนไปมาซูมกล้อง
2. จอมอนิเตอร์แบ่งจอภาพดูปลายทางด้านใดด้านหนึ่ง

3. อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ควบคุมระบบสื่อสารควบคุมเสียง ภาพ แหล่งจ่ายไฟและอินเตอร์เฟส

4. แป้นควบคุมเพื่อควบคุมระยะไกลไปยังอีกปลายทางด้านหนึ่งได้
กล้องโทรทัศน์ เป็นกล้องทีวีที่ใช้ในการจับภาพ มีระบบเซอร์โว เพื่อควบคุมมาจากระยะไกลให้ปรับมุมเงย มุมก้ม ส่วนซ้ายขวา และซูมภาพได้ กล้องทีวีที่ใช้นี้อาจตักแยกจากระบบเพื่อการกำหนดมุมภาพที่ชัดเจน
จอมอนิเตอร์ เป็นจอภาพที่ใช้กับระบบ PAL หรือ NTSC ภาพที่ปรากฎมีระบบรวมสัญญาณเพื่อแบ่งจอภาพเป็นจอเล็ก ๆ เพื่อดูปลายทางแต่ละด้านหรือดูภาพของตนเอง ระบบจอภาพอาจขยายเป็นจอใหญ่ขนาดหลายร้อยนิ้วก็ได้
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการจัดการเรื่องเสียง การจัดการภาพและระบบสื่อสาร รวมทั้งตัวโคเด็กที่ใช้ในการบีบอัดสัญญาณภาพตลอดจนแหล่งจ่ายไฟเลี้ยง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้มักวางอยู่บนชั้น Rack ขนาด 19 นิ้ว
แป้นควบคุม แป้นควบคุมเป็นสิ่งที่ใช้สำหรับการควบคุมระบบ เช่น ควบคุมการปรับมุมกล้องที่ปลายทางระยะห่างไกลการเลือกการติดต่อปลายทาง การปรับเสียง ปรับระบบสื่อสารต่าง ๆ

มาตรฐานระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์


ระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ เป็นระบบสื่อสารเชื่อมโยงกันเป็นระบบ ดังนั้นเรื่องมาตรฐานเป็นสิ่งที่จำเป็นมิฉะนั้นแล้วการใช้ผลิตภัณฑ์ต่างยี่ห้อจะไม่สามารถใช้งานร่วมกันได้เลย
ระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ในยุคแรก และระบบที่มีอยู่บนเครื่องคอมพิวเตอร์ ส่วนใหญ่เป็นระบบเฉพาะบริษัท (proprictary) เช่น เมื่อใช้บนเครื่องซันเวอร์กสเตชันก็จะใช้กับกลุ่มเครื่องซัน หรือถ้าใช้กับเครื่องลักษณะกราฟิกส์ก็จะใช้ได้ในกลุ่มเครื่องนั้นเท่านั้น
มาตรฐานที่สำคัญเป็นมาตรฐานในกลุ่ม CCITT ซึ่งแบ่งกลุ่มมาตรฐานที่สำคัญได้แก่
H.261 เป็นมาตรฐานโคเด็กที่ใช้กับความเร็วของสื่อสารขนาด Nx64 กิโลบิต และถ้าเต็ม E1 (2048) จะได้ภาพเคลื่อนไหวเต็มที่ H.261 เป็นมาตรฐานการบีบอัดการประมวลผลบนโคเด็กที่ทำให้การเชื่อมโยงผลิตภัณฑ์ระหว่างยี่ห้อเกิดขึ้นได้
H.221 เป็นมาตรฐานเกี่ยวกับการกำหนดเฟรม เพื่อให้รายละเอียดเกี่ยวกับการสร้างภาพแต่ละเฟรม
H.230 เป็นระบบสัญญาณที่ใช้ในการควบคุมการส่งสัญญาณและรับสัญญาณระหว่างโคเด็ก
H.242 เป็นโปรโตคอลการสื่อสารระหว่างโคเด็ก เพื่อการเชื่อมโยงและสื่อสารระหว่างกัน
H.230 เป็นมาตรฐานเพื่อกำหนดรายละเอียดของอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์
H.233 เป็นมาตรฐานการเข้ารหัสเพื่อการเอ็นคริปชันและดีคริปชัน เพื่อความปลอดภัยเกี่ยวกับการส่งสัญญาณภาพและเสียงในเครือข่าย
H.231 และ H.243 เป็นมาตรฐานเพื่อการกำหนดการทำงานแบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์หลาย ๆ ชุด โดยมีการสวิตชิ่งและกำหนดช่องเวลาในระบบมัลติเพล็กซ์สัญญาณหลายช่อง
H.261 เป็นระบบที่เพิ่มเติมเข้าไปโดยที่เทคโนโลยีอาจพัฒนาให้ดีขึ้นจนสามารถส่งภาพรายละเอียดสูงได้
มาตรฐานเหล่านี้ยังเป็นของใหม่ ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาและปรับใช้ นอกจากนี้ยังมีมาตรฐานที่เกี่ยวกับภาพที่มีการใช้งานกันมากทางคอมพิวเตอร์คือ JPEG และ MPEG ที่จะลดขนาดของภาพให้เล็กลงเพื่อเก็บลงไฟล์


การประยุกต์วิดีโอคอนเฟอเรนซ์


บริษัททีมชาติ เป็นบริษัทที่มีสำนักงานกระจายอยู่หลายประเทศหรือบริษัทที่มีผู้บริหารกระจายการทำงานอยู่ทั่วไป เมื่อต้องการประชุมก็จะต้องเดินทางมาร่วมกันเสียเวลาการเดินทาง เสียค่าใช้จ่าย ระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ช่วยทำให้การประชุมร่วมกันเกิดขึ้นได้ โดยกำหนดวันเวลาการประชุมร่วมกันโดยไม่ต้องเสียเวลาการเดินทาง
ผู้เขียนได้มีโอกาสวางระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ เพื่อการเรียนการสอน โดยได้เชื่อมโยงห้องเรียนขนาด 300 คน สามห้องจากวิทยาเขตบางเขนและกำแพงแสนผ่านระบบไมโครเวฟ การบรรยายต่าง ๆ ที่ใดที่หนึ่งก็มีผู้เรียนที่อยู่ที่ห่างไกลร่วมเรียนด้วยได้ ทำให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพได้ ทำให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพและผู้สอนไม่จำเป็นต้องเดินทางไปมาระหว่างวิทยาเขต ระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์จึงเป็นระบบที่เหมาะกับการประยุกต์ในเรื่องการเรียนการสอนทางไกล เป็นการประหยัดงบประมาณ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน






ที่มา:รศ.ยืน ภู่วรวรรณ


วารสาร COMPUTER USER ปีที่ 2 ฉบับที่ 21

อินเตอร์เน็ตกับโลกาภิวัฒน์








อินเตอร์เน็ตกับโลกาภิวัฒน์





อินเทอร์เน็ตได้รับการพัฒนามาตั้งแต่ครั้งสมัยสงครามเย็น กระทรวงกลาโหมอเมริกันต้องการพัฒนาเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ ในเรื่องทางทหาร ต่อมาเครือข่ายคอมพิวเตอร์ได้รับการนำมาประยุกต์เพื่องานวิจัยและความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย
หลังปี ค.ศ. 1981 เครือข่ายอินเทอร์เน็ตมีพัฒนาการที่รวดเร็ว และก้าวหน้าจนมีผู้ใช้เชื่อมโยงกันทั่วโลก ปัจจุบันเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เป็นเครือข่ายที่ครอบคลุมผู้ใช้ทั่วโลก มีจำนวนผู้ใช้หลายร้อนล้านคน และสร้างบทบาทสำคัญยิ่งในเรื่องโลกาภิวัฒน์ จากกระแสในเรื่องการค้าโลกที่เน้นความเป็นเสรีการค้าขายระหว่างประเทศที่ไม่มีเขตหรือเงื่อนไขที่จะปกป้อง ทุกคนใคร่ค้าค้า การดำเนินธุรกิจจึงไม่จำกัดเฉพาะในพรมแดน หรือกรอบแคบ ๆ ในเพียงตำบล อำเภอ หรือประเทศของตน แต่จะก้าวต่อไปในกระแส ของการค้าโลก หากมองในมุมการค้าเพื่อการแลกเปลี่ยนสินค้าและการกระจายสินค้าให้ทั่วถึงแล้ว ประชากรโลกในกระแสโลกาภิวัฒน์ย่อมมีทางเลือก หรือสามารถซื้อสินค้าได้ถูกลง การแข่งขันกันทำให้ต้องพัฒนาและสร้างคุณภาพสร้างผลผลิตให้ได้ต้นทุนที่ถูก ทำให้การบริโภคมีสินค้า และบริการอย่างทั่วถึง แต่หากมองในมุมกลับโลกาภิวัฒน์ทำให้ข้อมูลข่าวสารถึงกัน การเรียนรู้ การเข้าใจย่อมทำได้ดีขึ้น แต่ที่แน่นอน คือฐานการใช้เทคโนโลยีทางด้านการผลิตการดำเนินการในแต่ละประเทศยังแตกต่างกันมาก แม้แต่ผลิตผลทางการเกษตร เกษตรกร อเมริกันใช้เครื่องจักรเครื่องทุ่นแรงที่ทันสมัย ใช้เทคโนโลยีทางพันธุกรรมและการดูแลรักษาตลอดจนปุ๋ยสารเคมีที่เพียบพร้อม ผลผลิต และราคาย่อมถูกกว่าการผลิตในประเทศที่กำลังพัฒนา กระแสโลกาภิวัฒน์และการค้าเสรีย่อมทำให้เกษตรกรในหลายประเทศอาจ ประสบปัญหาได้ โลกแห่งอินเทอร์เน็ตทำให้การค้าแบบกระจายฐานไปได้กว้าง พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์จึงเป็นโมเดลที่กำลังพูดถึงกันอยู่ อย่างมากขณะนี้
โลกาภิวัฒน์ทำให้โครงสร้างการบริโภคเปลี่ยนแปลงไป
เมื่อสามสิบปีก่อน การบริโภคในประเทศไทยมีกรอบจำกัด อาหารหลักคือข้าวและพืชผักที่ปลูกได้ในประเทศ ครั้นเมื่อประเทศไทย มีการพัฒนา โครงสร้างอาหารเริ่มเปลี่ยนไป เราเริ่มรู้จักกับผลิตภัณฑ์อาหารใหม่ ๆ มากขึ้น มีการแปรรูป หรือแม้แต่อาหารสำเร็จรูป ต่าง ๆ ที่เข้ามาให้เลือกมากมาย หากเราเดินเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ต จะเห็นได้ว่าโครงสร้างการบริโภคหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป มาก โครงสร้างการบริโภคมีทั้งที่นำเข้าและผลิตภัณฑ์ภายใน แม้แต่วัฒนธรรมการบริโภคหลายอย่างก็เปลี่ยนแปลงไป เรารับประทาน ขนมปัง แฮมเบอร์เกอร์ อาหารทางตะวันตกมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีเราไม่สามารถผลิตขึ้นได้เองเลย ข่าวสารทางด้านอินเทอร์เน็ตยิ่งทำให้เราเข้าถึงได้ง่าย การเรียนรู้การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างกันเป็นไปอย่างรวดเร็ว แน่นอนที่สุดว่าอีกสิบปีข้างหน้า โครงสร้างทางด้านการบริโภคจะยิ่งเปลี่ยนแปลงมากขึ้นและการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่จะมาจากกลไก การซื้อขายที่เข้ามาได้ง่าย โดยเฉพาะในเรื่องพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต นั่นหมายถึง ผู้บริโภคมีทางเลือกมาก ยิ่งขึ้น โครงสร้างการบริโภคจะเป็นไปตามกระแสนิยม และวัฒนธรรมใหม่ในเรื่องการบริโภคจะเปลี่ยนแปลงไป
อินเตอร์เน็ตเพื่อมวลมนุษย์
การที่อินเทอร์เน็ตและกระแสโลกาภิวัฒน์จะส่งผลทำให้เกิดช่องว่างระหว่างประเทศพัฒนาแล้วกับประเทศด้อยพัฒนาและกำลังพัฒนา ให้สูงขึ้นหรือต่ำลงยังคงเป็นปัญหาให้เราต้องขบคิด ทั้งนี้เพราะประเทศพัฒนาแล้วมีพลังอำนาจทางด้านไอทีสูงกว่ามาก และด้วยพลัง ไอทีที่จะทำให้ประเทศที่พัฒนายิ่งพัฒนาต่อไป ขณะเดียวกันประเทศกำลังพัฒนาก็ยากที่จะไล่ตามทัน อินเทอร์เน็ตเป็นถนนของข้อมูลข่าวสาร จึงน่าที่จะเป็นหนทางที่ทำให้ประเทศด้อยพัฒนาได้รับข่าวสารเร็วขึ้น ทำอย่างไรประเทศ เหล่านั้นจะได้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ต จากการรวมตัวในกลุ่มประเทศเอเซียแปซิฟิก ในชื่อ APAN หรือ Asia Pasific Advance Network ซึ่งเป็นองค์กรแบบร่วมมือกัน โดยเน้นเป็นองค์กรแบบไม่หวังผลกำไร โดยมีภารกิจที่จะเตรียมการในเรื่องเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพระหว่างประเทศ เพื่องานบริการ และงานวิจัย โดยเน้นให้ประเทศในกลุ่มเกิดความร่วมมือกัน ทำการวิจัยและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกัน เป้าหมายที่สำคัญคือ ต้องการให้อินเทอร์เน็ตมีบทบาทที่สำคัญในการพัฒนามวลมนุษย์ร่วมกันโดยเฉพาะประเทศในกลุ่มนี้
อนาคตความร่วมมือ
จากกระแสโลกาภิวัฒน์ทำให้ประเทศกำลังพัฒนาต้องรีบปรับตัว การปรับตัวและเรียนรู้ต้องอาศัยความร่วมมือและเข้าสู่เวทีเพื่อการลด ช่องว่างระหว่างประเทศให้ลดลง อินเทอร์เน็ตทำให้ช่องว่างระยะทางลดลง แต่ช่องว่างของเทคโนโลยียังอยู่ การพัฒนาหลายอย่าง โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับประเทศของตนยังต้องทำอีกมากมาย อนาคตจึงอยู่ที่ความร่วมมือ และหาทางถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ได้เร็วที่สุด เพื่อว่า การดำรงอยู่ในยุคโลกาภิวัฒน์จะมีโครงสร้างหลาย อย่างที่เปลี่ยนแปลงไป อินเทอร์เน็ตจะมีบทบาทที่สำคัญบทบาทหนึ่งเพื่อมวลมนุษย์