ค้นหา

วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553


การตั้งค่า Facebook URL






Posted on August 25, 2010, 12:42 pm, by admin, under จ. จอจิปาถะ. แอคเคาท์ใน Facebook ของเรานั้น ก็เหมือนฟรีสเปซหรือเว็บ Social Network อื่นๆ ซึ่งจะมี URL เฉพาะของตัวเราเอง สามารถนำไปแจกเพื่อนใหม่ๆได้เลยครับ โดยที่เราไม่จำเป็นต้องแอดผ่านเมล์ก็ได้ ถ้าหากเรามีเพื่อนใหม่ๆ แต่ยังไม่ได้แอดเมล์กัน ก็สามารถเข้า URL ของ Facebook แล้วกด add friend ได้ทันที หรือจะนำ URL ไปใส่ในนามบัตรของเราเองก็ได้ค่ะ

ขั้นตอนที่ 1 ล็อกอินเข้า Facebook จากนั้นไปที่เมนู Account มุมบนขวา (ดังรูป) จากนั้นเลือกเมนูย่อย account setting






รูป A





รูป B

ขั้นตอนที่ 2 จะปรากฏพื้นที่ให้เราทำการแก้ไขข้อมูลต่างๆ สำหรับวงกลมสีเขียว (ดังรูป) คือการแก้ไขชื่อสกุลจริงของเรานะค่ะ ซึ่งถ้าเปลี่ยนชื่อสกุลจริง ต้องรอสักพักเพื่อการอนุมัติ และชื่อสกุลจริงนี้จะกลายเป็นชื่อโปรไฟล์ของเราครับ สามารถเปลี่ยนได้ตามอัธยาศรัย







รูป C





รูป D

สำหรับการแก้ไขชื่อที่จะกลายเป็น URL ของเรา ก็คือส่วนที่เรียกว่า Username ให้คลิกที่ change จากนั้นใส่คำอะไรก็ได้ที่เราต้องการให้เป็น Username ของตัวเรา โดยโครงสร้าง URL ของ Facebook คือ http://www.facebook.com/ชื่อusername หลังจากที่เพื่อนๆเลือกคำได้ถูกใจแล้ว ก็ให้กดที่ปุ่ม Check Availability เพื่อตรวจสอบว่าซ้ำหรือไม่ หรือมีอักขระอื่นปนหรือไม่ ถ้าชื่อนั้นสามารถใช้ได้ ก็จะมีข้อความยืนยันถามเราอีกครั้งดังรูปค่ะ




รูป E

ถ้าพอใจกับชื่อแล้ว ก็กด confirm ได้เลยค่ะ


ขั้นตอนที่ 3 แจกโลดครับ จะทำลงนามบัตรเก๋ๆส่วนตัว หรือไปใส่ในบล็อกส่วนตัวที่อื่นๆ หรือจะใส่เป็นลายเซ็นต์ในเมล์ก็ได้ค่ะ
นี่เป็น Facebook URL ของฉันค่ะ










เตรียมต้อนรับอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง(มาก)


CERN ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้เริ่มโครงการการประมวลผลผ่านเครือข่ายแบบกริด (Grid Computing - ข้อมูลเพิ่มเติมที่นี่) มา 7 ปีแล้ว เมื่อเหล่านักวิจัยตระหนักว่าข้อมูลที่จะได้จาก LHC จะมีปริมาณเท่ากับแผ่นซีดีถึง 56 ล้านแผ่น สามารถเอามาตั้งเป็นความสูงถึง 64 กิโลเมตรนั่นหมายความว่าเมื่อ the grid ถูกเปิดใช้ ระบบเครือข่ายทั่วโลกจะล่ม เพราะว่าอินเตอร์เน็ตในปัจจุบัน ถูกพัฒนาขึ้นมาจากการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ ด้วยสายเคเบิ้ล ซึ่งเป็นระบบแบบเก่าของระบบโทรศัพท์ ทำให้ขาดความสามารถในการรับส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงมากในทางกลับกัน the grid ถูกสร้างขึ้นด้วยเครือข่ายใยแก้วนำแสง (Fibre Optic Cable) และระบบรู้ทติ้ง (Routing Centre) ที่ทันสมัย หมายความว่าไม่มีส่วนประกอบไหนที่จะหน่วงการรับส่งข้อมูล โดยขณะนี้มีการติดตั้งเครื่องแม่ข่าย (Server) เป็นจำนวนถึง 55,000 เครื่อง และจะเพิ่มเป็น 200,000 เครื่องในอีกสองปีข้างหน้าศาสตราจารย์โทนี่ ดอยล์ (Tony Doyle) ผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคของโครงการ the grid กล่าวว่า "เราต้องการพลังประมวลผลมหาศาล ถ้าตั้งเครื่องทั้งหมดไว้ที่ CERN จะมีปัญหาในเรื่องกระแสไฟฟ้า คำตอบอย่างเดียวของเราคือระบบเครือข่ายที่ทรงพลังพอที่จะส่งข้อมูลอย่างรวดเร็วไปยังศูนย์วิจัยในประเทศต่าง ๆ"
ระบบเครือข่ายนั้นถูกสร้างขึ้นแล้ว โดยใช้สายใยแก้วนำแสงที่เชื่อมต่อ CERN กับ 11 ศูนย์วิจัยในสหรัฐอเมริกา แคนาดา ตะวันออกไกล ยุโรป และทั่วโลกปลายสายหนึ่งอยู่ที่ห้องปฏิบัติการ รัทเธอร์ฟอร์ด แอปเปิ้ลตั้น (Rutherford Appleton) ที่ฮาร์เวล (Harwell) ในอ๊อกซฟอร์ดเชียร์ (Oxfordshire)จากแต่ละศูนย์ การเชื่อมต่อจะแผ่ขยายไปยังศูนย์ย่อยต่าง ๆ ด้วยเครือข่ายทางการศึกษาความเร็วสูง นี่หมายความว่าเฉพาะในเกาะอังกฤษเพียงแห่งเดียว มีเครื่องแม่ข่ายถึง 8,000 เครื่องในระบบกริด ดังนั้นในทางทฤษฎีแล้ว นักศึกษาหรือบุคลากรต่าง ๆ จะสามารถเชื่อมต่อกับ the grid ได้ในภายในฤดูใบไม้ร่วงนี้เอียน เบิร์ด (Ian Bird) หัวหน้าโครงการการประมวลผลความเร็วสูงจาก CERN กล่าวว่าเทคโนโลยีกริดสามารถทำให้อินเตอร์เน็ตมีความเร็วสูงมากจนผู้ใช้จะเลิกเก็บข้อมูลไว้ในเครื่องตนเอง แต่จะเก็บมันไว้ในอินเตอร์เน็ตแทน"มันจะนำไปสู่สิ่งที่เรียกว่า Cloud Computing ซึ่งผู้คนเก็บข้อมูลไว้ออนไลน์และเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นได้จากทุกหนแห่ง" เบิร์ดกล่าวเนื่องจากคอมพิวเตอร์ทั้งหลายในเครือข่าย the grid สามารถส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูง นักวิจัยที่ประสบกับปัญหาที่ต้องการพลังการประมวลผลสูงสามารถขอความช่วยเหลือจากคอมพิวเตอร์อื่น ๆ นับพันเครื่องทั่วโลก เป้าหมายคือขจัดปัญหาเครื่องค้าง (Frozen Screen) ที่ประสบโดยผู้ใช้อินเตอร์เน็ตที่ให้เครื่องของตนจัดการกับข้อมูลมากเกินไป
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของโครงการ the grid นี้ คือการทำงานร่วมกับเครื่อง LHC เพื่อค้นหาอนุภาคที่ตรวจจับยากที่สุดในธรรมชาติ คืออนุภาค Higgs boson ซึ่งถูกตั้งทฤษฎีไว้ว่าเป็นอนุภาคที่ทำให้สสารมีมวล แต่ยังไม่เคยถูกตรวจจับได้มาก่อนเครื่อง LHC ถูกออกแบบมาเพื่องานนี้ ซึ่งแม้แต่การทำงานที่ดีที่สุดของมัน ก็สามารถสร้างอนุภาคได้เป็นจำนวนเพียงไม่กี่พันอนุภาคต่อปี การวิเคราะห์ข้อมูลมหาศาลจะเป็นงานช้างที่ the grid ต้องทำเป็นเวลาหลายปีแม้ว่าตัว the grid เองจะไม่เข้าถึงผู้ใช้อินเตอร์เน็ตตามบ้าน ธุรกิจการสื่อสารจำนวนมากได้เปิดตัวเทคโนโลยีรุ่นบุกเบิก หนึ่งในนั้นเรียกว่า Dynamic Switching ซึ่งจะสร้างช่องทางเฉพาะให้กับผู้ใช้อินตอร์เน็ตที่พยายามจะดาวน์โหลดข้อมูลขนาดใหญ่ เช่น ภาพยนตร์ โดยในทางทฤษฎีแล้ว มันจะทำให้เครื่องทั่วไปสามารถดาวน์โหลดภาพยนตร์หนึ่งเรื่องในเวลา 5 วินาที แทนที่จะเป็น 3 ชั่วโมงอย่างในปัจจุบันนอกจากนี้ the grid ยังเปิดให้นักวิจัยได้ใช้ในสาขาอื่น ๆ เช่นดาราศาสตร์ หรือชีววิทยาปัจจุบัน the grid ถูกใช้ออกแบบยาต้านโรคมาเลเรีย ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนกว่า 1 ล้านคนต่อปี นักวิจัยใช้ the grid เพื่อวิเคราะห์สารประกอบ 140 ชนิด ซึ่งหากใช้คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตทั่วไป จะใช้เวลาถึง 420 ปี"โครงการอย่าง the grid สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมากแก่สังคมและวงการธุรกิจเช่นเดียวกับวงการวิทยาศาสตร์" ดอยล์กล่าว"การประชุมผ่านวิดีโอโฮโลกราฟิกจะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม เกมออนไลน์จะพัฒนาจนเล่นพร้อมกันได้หลายพันคน และเครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Networking) จะเป็นการสื่อสารหลักของเรา""ประวัติศาสตร์ของอินเตอร์เน็ตแสดงให้เห็นว่าเราไม่อาจทำนายผลกระทบจริง ๆ จากมันได้ แต่เรารู้ว่ามันจะกระทบอย่างไร

วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2553






1. ฟังเพลง

หามุมสงบนั่งปล่อยใจให้ล่องลอยอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วฟังเพลง เบา ๆ โดยเฉพาะเพลงจำพวก Meditation ซึ่งเดี๋ยวนี้มีให้เลือกหลากหลายแบบตามความต้องการ ทั้งเสียงของดนตรี บรรเลงหรือเสียงธรรมชาติ จำพวกเสียงคลื่น..เสียงน้ำตก..เสียงนกร้อง รับรองว่าจะช่วยสร้างสมาธิให้กลับคื่นสู่สมองและจิตใจได้อย่างน่ามหัศจรรย์ ในช่วงระยะเวลาเพียงสั้นๆ เชียวล่ะ


2. ฉายเดี่ยวดูภาพยนตร์

ขอแนะนำให้ฉายเดี่ยวแล้วตีตั๋วดูหนังดีๆ สักรอบ เพราะการไปดูหนังเนี่ยเป็นวิธีที่เวิร์คที่สุดที่จะปลดปล่อยความรู้สึกให้ ล่องลอยอย่างเป็นอิสระไม่จมอยู่กับปัญหา แถมระบายความอัดอั้นตันใจได้อย่างเห็นผล แต่ต้องถามตัวเองก่อนนะว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน เช่น ถ้าอยากร้องไห้ก็ไปดูหนังรักเศร้าเคล้าน้ำตาแล้วก็ร้องไห้ออกมาซะให้พอ หรือถ้าเครียดจัดก็จงไปดูหนังตลกแล้วหัวเราะให้หลุดโลกไปเลย


3. โทรหาเพื่อนรู้ใจ

อย่าคิดว่าตัวเองจะแก้ปัญหาทุกปัญหาได้ดีไปซะหมด หัวใจสาวมั่นแม้จะแกร่งเพียงใดก็ยังต้องการที่พึ่งพิงเสมอ ยกหูโทรศัพท์หาเพื่อนรู้ใจสันคนแล้วระบายความรู้สึกให้เพื่อนได้รับรู้ เพราะการมีคนรับฟังและให้คำปรึกษา จะทำให้ชีวิตที่เอียงกะเท่เร่เริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น อย่างน้อยก็ยังรู้สึกว่า ไม่ได้แบกปัญหาอยู่คนเดียวในโลกไงล่ะ


4. เขียนไดอารี่

การเขียนไดอารี่เปรียบเสมือนการเปิดประตูอารมณ์ที่ปล่อยให้ความอัดอั้นตันใจต่างๆ ได้ไหลลงสู่หน้ากระดาษอย่างเป็นอิสระและเป็นส่วนตัวที่สุด เพราะการถ่ายเทความรู้สึกในใจออกมา จะทำให้จิตใจปรับสมดุลได้เร็วขื้น อีกทั้งระหว่างการเขียนไดอารี่นั้นยังถือเป็นการทบทวนความรู้สึกตัวเองที่ดี ที่สุดด้วย ส่วนข้อดีสุดเลิศอีกข้อก็คือ ไดอารี่เป็นเพื่อนสนิทที่ไว้ใจได้ที่สุด เพราะรับฟังเราเสมอและไม่เคยเอาความลับไปบอกต่อไงล่ะ


5. พลังแห่งการสัมผัส

ลองมองหาใครสักคนช่วยโอบกอดหรือสัมผัสเบา ๆ เวลารู้สึกเหนื่อยล้าดูสิ เพราะร่างกายคนเราเวลาถูกสัมผัสเนี่ย จะทำให้เกิดฮอร์โมนที่ชื่อ "อ๊อกซี่โทชิน" ซึ่งมีผลในการลดระดับความเหนื่อยและความเครียด ช่วยให้ร่างกายที่กำลังอ่อนล้ารู้สึกผ่อนคลายได้อย่างไม่น่าเชื่อ


6. สร้างอารมณ์ขัน

พยายามมองหาเพื่อนที่มีอารมณ์ขันช่วยกระตุ้นจิตใจที่แสนห่อเหี่ยวให้หัวเราะได้อีกครั้ง เพราะคนที่หัวเราะง่ายจะมีสุขภาพจิตที่ดี เนื่องจากการหัวเราะจะช่วยลดความดันโลหิตและระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลลง (ฮอร์โมนคอร์ติซอล = ฮอร์โมนแสดงความเหนื่อยล้าในกระแสเลือด) แถมยังช่วยเสริมสร้างระดับของ "อิมโมโนโกลบูลินเอ" ซึ่งเป็นสารแอนตี้บอดี้ที่สร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายอีกด้วยนะ เพราะฉะนั้นหัวเราะเข้าไว้ แล้วจะดีเอง


7. สูดกลิ่นหอม

รู้หรือเปล่าว่า...กลิ่นหอมของดอกไม้นานาพันธุ์มีผลในการช่วยปลุกประสาทสัมผัสให้สดชื่นตื่นตัว แถมยังกระตุ้นพลังงานในจิตใจได้เป็นอย่างดี เวลาเครียด ๆ ก็ลองสูดกลิ่นหอมของดอกไม้สิ อย่างกลิ่นกุหลาบ มะลิ ลาเวนเดอร์ หรือจะหยดน้ำมันหอมระเหยในน้ำอุ่นกำลังดี แล้วนอนแช่ตัวให้เพลินสักครึ่งชั่วโมงก็ได้ กลิ่นหอมจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้อย่างบอกไม่ถูกเชียวล่ะ


8. ไปตากอากาศ

หาเวลาหลบไปสูดอากาศบริสุทธิ์กับชีวิตท่ามกลางธรรมชาติสักพัก สิ หายใจเข้าลึก ๆ ช้า ๆ ปล่อยสมองให้ว่างที่สุด แล้วก็นอนให้มากที่สุดเท่าที่อยากจะนอน เพราะบางทีความรู้สึกเหนื่อยล้าและหดหู่แบบไม่ทราบสาเหตุเนี่ยมันมาจาก ชีวิตที่ยุ่งเหยิงจนเกินไป เพราะฉะนั้นหลบไปนอนตากน้ำค้างดูดาวเสียบ้าง หัวใจจะได้ชาร์จพลังได้ดีขึ้น


9. หาสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อน

ลองหาสัตว์เลี้ยงสักตัวมาเป็นเพื่อนเล่นก็ไม่ เลวนะ เพราะการให้เวลากับสัตว์เลี้ยงตัวโปรด คุยเล่น หยอกล้อกับมันเสียบ้าง จะช่วยให้จิตใจอันแสนจะฟุ้งซ่าน สงบลงได้ แถมรู้จักการให้และมองโลกในแง่ดีมากขึ้นอีกต่างหาก ที่สำคัญยังช่วยลดความดันโลหิตได้อีกด้วยนะ


10. จินตนาการแสนสุข

อีกทางเลือกสำหรับการบรรเทาความหดหู่ในส่วนลึก เป็นการดึงตัวเองออกจากโลกปัจจุบัน ทำได้โดยหลับตาแล้วหายใจลึก ๆ จากนั้นก็สร้างจินตนาการถึงความฝันที่วาดหวังเอาไว้ หรือแม้แต่ความหลังอันแสนสุขที่เคยมีการดึงความสุขจากจินตนาการมาใช้จะ ทำ ให้เกิดพลังสร้างสรรค์ในหัวใจ และยังช่วยสลายความเครียดข้างในได้เป็นอย่างดี ทำแบบนี้เงียบๆ สัก 5 นาที รับรองรู้สึกดีแบบทันตาเห็น











นิตยสาร “Comic Link” ฉบับพิเศษซึ่งวางจำหน่ายเมื่อปี พ.ศ.2541 ได้ตีพิมพ์รายชื่อการ์ตูนที่ได้รับการคัดเลือกจากผู้อ่านชาวญี่ปุ่นจำนวน 5,315 คน ให้เป็นการ์ตูนญี่ปุ่นที่ดีที่สุดตลอดกาลจำนวน 50 ชื่อเรื่อง โดยเรื่องที่ได้รับการคัดเลือกมีรายชื่อเรียงตามลำดับ ดังนี้


1.
Banana Fish
2. Black Jack แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ แบล็คแจ็คนักบุญปีศาจ และ Black Jack หมอปีศาจ

3. Doraemon แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ โดราเอมอนแมวจอมยุ่ง

4. Glass Mask แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ นักรักโลกมายา และ หน้ากากแก้ว

5. The Rose of Versaille แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ กุหลาบแวร์ซายส์

6. The Firebird แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ ฮิโนโทริวิหคเพลิง


8. Devilman แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ เดวิลแมน


10. Asakiyumemishi แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ ฟ้าใต้แสงจันทร์ และ ด้วยเมฆหมอกแห่งรัก

11. Tomorrow’s Joe แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ โจสิงห์สังเวียน


13. Mr.Veterinarian แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ ยุ่งชะมัด...เป็นสัตวแพทย์

14. Slam Dunk แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ สแลมดั๊งค์

15. Candy Candy แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ แคนดี้ แคนดี้ และ แคนดี้จอมแก่น

16. Master Keaton แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ มาสเตอร์ คีตั้น

17. Akira แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ อากิระ


19. Children Away from Home แปลเป็นไทยในชื่อ 4 พเนจร



22. Aim for the Ace! แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ ยอดหญิงสิงห์เทนนิส


24. Maison Ikkoku แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ บ้านพักอลเวง



27. Jojo’s Bizarre Adventure แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ JoJo ล่าข้ามศตวรรษ

28. Attention, Students! แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ นักกี้จอมใจจอมแก่น

29. OZ แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ วิกฤติการณ์อนาคต

30. Touch แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ ทัช

31. Astroboy แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ เจ้าหนูปรมาณู



34. Dragon Ball แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ ดราก้อนบอลล์

35. Palm

36. Parasitic Beast แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ ปรสิตเดรฉาน

37. Those Obnoxious Aliens แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ ลามู...ทรามวัยต่างดาว



40. Fist of the North Star แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ ฤทธิ์หมัดดาวเหนือ


42. Golgo 13 แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ โกลโก้ 13

43. From Eroica with Love แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ สายลับเจ้าเสน่ห์ และ 2 คน เฉือนคม

44. Jungle Emperor Leo แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ สิงห์น้อยเจ้าป่า

45. There Goes the Modern Girl แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ สงครามกับความรัก, รักอลเวง และ เปลวรักเพลิงสงคราม


47. Swan มีแปลเป็นไทยแล้วในชื่อ หงส์ฟ้า



50. Mari and Shingo, River’s Edge, Lupin III แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ จอมโจรลูแปง


น่าสังเกตว่า ในจำนวน 50 ชื่อเรื่องที่ได้รับการคัดเลือก มีจำนวนถึง 23 เรื่องที่เป็นการ์ตูนจากทศวรรษที่ 70 โดยเฉพาะเรื่องที่เป็น Masterpiece ของยุคนั้น อาทิเช่น Black Jack, The Glass Mask และ The Rose of Versaille ล้วนได้รับการคัดเลือกให้อยู่ใน Top 10 ทั้งสิ้น ซึ่งทำให้เราอาจสรุปได้ว่า ทศวรรษที่ 70 คือยุคทองของการ์ตูนญี่ปุ่นอย่างแท้จริงเชื่อว่าน้อยคนนักที่จะเคยอ่านการ์ตูนตามรายชื่อข้างบนครบทุกเรื่อง แม้จะนับเฉพาะเรื่องที่มีการถ่ายทอดเป็นภาษาไทยก็ตามที เรื่องไหนที่ยังไม่เคยอ่าน แนะนำให้ลองหามาอ่านดู ไม่รับรองว่าจะชอบทุกเรื่องที่ได้อ่าน แต่อย่างน้อยการ์ตูนที่สามารถเอาชนะเรื่องดังๆ ข้ามทศวรรษอย่าง ไออิกับมาโกโต้, Dr.Slump หรือแม้แต่ Orange Road ได้ ต้องไม่ธรรมดาแน่ ของอย่างนี้ไม่ลองไม่รู้







******** คมวาทะเจ้าสัว ********เมื่อคุณจะทำธุรกิจใดๆ ก็ตาม หากคุณชอบและรัก และพร้อมที่จะทุ่มเทให้กับมัน คุณจะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน แต่คุณต้องลงมือศึกษาอย่างเป็นจริงเป็นจังด้วย

----------------------------------------------------------- ชัยยุทธ กรรณสูต

อย่าลืมว่า ในการประกอบธุรกิจ เก่งอย่างเดียวไม่ได้ ต้องเฮงด้วย และเก่งกับเฮงก็ใช้ไม่ได้แล้วในสมัยนี้ ต้องมีสายสัมพันธ์ทางธุรกิจด้วย และเรื่องนี้ผมก็สอนลูก ๆ ผมอยู่เสมอ

----------------------------------------------------------- อุเทน เตชะไพบูลย์

ผมบอกพนักงานอยู่เสมอ คือในโลกนี้ ไม่มีคนไหนเก่งไปตลอดกาล วันนี้คุณอาจเก่ง แต่พรุ่งนี้ อาจมีคนเก่งกว่าคุณ เพราะฉะนั้น คนใดก็ตามที่ภูมิใจว่า ตนเองเก่ง จงจำเอาไว้ได้เลยว่า ความหายนะใกล้มาถึงตัวคุณแล้ว ความโง่คืบคลานมาใกล้ตัวคุณแล้ว

----------------------------------------------------------- ธนินท์ เจียรวนนท์

ผมพร้อมจะเป็นน้ำนิ่ง อาจมีเขื่อนมาขวางหน้า แต่ถ้าวันใด ที่เขื่อนนั้นเปราะบาง และโอกาสแห่งการสำแดงพลังมาถึง ผมก็พร้อมจะกลายเป็นกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก โหมกระหน่ำใส่ทุกสิ่งที่ขวางกั้น แม้กระทั่งเขื่อนที่ครั้งหนึ่งผมเคยสยบยอมก็ตาม

----------------------------------------------------------- เจริญ สิริวัฒนภักดี

ผมจะก้าวหน้าไปสักก้าว ก็ต้องเจออะไรมากระทบ แต่เราก็พยายามที่จะก้าวใหม่ อีกอย่างหนึ่งบ แบงค์กรุงเทพฯเคยถูกกระทบตลอดเวลา และไม่เคยท้อถอย

----------------------------------------------------------- ชาตรี โสภณพนิช

เจี้ย ยู่ เล้ง โจ้ว ซื่อ ยู่ โฮ้ แปลเป็นไทยได้ความว่า กินข้าวต้องเร็วเหมือนมังกร ทำงานต้องทำให้เหมือนเสือ และก็ไม่แต่ผมคนเดียวเท่านั้น ลูกๆ ทุกคนก็ปฏิบัติอย่างนี้

----------------------------------------------------------- บุญยสิทธิ์ โชควัฒนา

ถ้าคุณอดทน เพื่อจะทำอะไรสักอย่างให้สำเร็จ คุณจำเป็นอย่างมากที่จะต้องลงมือศึกษาเรื่องนั้นๆ อย่างเป็นจริงเป็นจัง แต่ถ้าคุณไม่อดทน โอกาสที่คุณจะผิดพลาดก็ย่อมมีสูงเช่นกัน

----------------------------------------------------------- อนันต์ กาญจนพาสน์

จงเดินไปหาภูเขา อย่าให้ภูเขาเดินมาหาเรา เพราะผมคิดว่า ปกติผู้บริหารทั่วไป มักจะเรียกพนักงานมาประชุมกับเรา มันเหมือนเราย้ายพนักงานทั้งกองทัพมาหาเรา แต่สำหรับผมผมจะเดินไปหาเขา ผมบอกลูกน้องของผมว่า เราต้องเดินไปหาลูกค้า อย่าให้ลูกค้ามาหาเรา

----------------------------------------------------------- พรเทพ พรประภา

ในเรื่องของการพิจารณา ความดีความชอบ ผมจะฟังเสียงตอบรับจากลูกค้าเป็นหลักว่า ลูกน้องแต่ละคนทำงานลงไปแล้ว ลูกค้าพอใจแค่ไหนอย่างไร ผมจะไม่เชื่อหัวหน้าอย่างเดียว เพราะถ้าเกิดหัวหน้าบางคนไม่ชอบลูกน้อง อาจเกิดกรณีหัวหน้าแกล้งลูกน้องได้

----------------------------------------------------------- ประกิต อภิสารธนรักษ์

ผมมีหลักของอาจารย์ที่สอนผมอย่างหนึ่งว่า มนุษย์เกิดมาไม่มีใครเก่งที่สุด ดีที่สุด หรือแม้แต่เลวที่สุด เพราะคนที่ดีสุดและเลวที่สุด ได้ตายจากโลกนี้นานแล้ว คนที่เหลืออยู่จึงเป็นเพียง ชีวิตที่มีขึ้นมีลงอย่างเดียว

----------------------------------------------------------- ไชยวัฒน์ เหลืองอมรเลิศ

ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม คุณต้องศึกษาให้รู้แจ้งเสียก่อน ก่อนที่จะลงมือทำ และเมื่อลงมือทำแล้ว ก็ต้องทำให้จริงๆ จังๆ ให้มันรู้ไปเลยว่า เราทำไม่ไหวแล้ว

----------------------------------------------------------- ชวน ตั้งมติธรรม


มีหลักในการบริหารงาน ไม่กี่ประการ

1. ต้องลับคมอยู่เสมอ

2. ไม่กลัวงาน เมื่อคิดจะทำอะไรต้องทำทันที และ

3. ต้องรักษาคำพูด


-----------------------------------------------------------คุณหญิงชนัตถ์ ปิยะอุย

เวลามีปัญหาในองค์กร ปัญหาชีวิตและสุขภาพ จะมีทางแก้ไขปัญหาให้คลี่คลายหลายรูปแบบ แต่ที่สำคัญต้องมีสติ และมีความรักเป็นพื้นฐานสำคัญ จากนั้นจึงค่อยใช้ปัญญา เพราะปัญญาช่วยให้มองเห็นหนทาง ของการแก้ปัญหาอย่างชัดเจนที่สุด

----------------------------------------------------------- ชูเกียรติ อุทกะพันธุ์


1. จงเผชิญกับความจริงอย่างที่เป็นอยู่ มิใช่อย่างที่คุณอยากเป็น

2. จริงใจกับทุกคน

3. อย่าเป็นแค่นักบริหารแต่จงออกไปนำทัพ

4. จงเปลี่ยนแปลงก่อนที่เหตุการณ์จะบังคับให้ต้องเปลี่ยน

5. ถ้าท่านไม่มีจุดแข็ง หรือข้อได้เปรียบจงอย่าแข่งกับเขา

6. จงคุมชะตาด้วยตนเองมิฉะนั้น ผู้อื่นจะมาคุมแทน

----------------------------------------------------------- ท่านผู้หญิงนิรมล สุริยสัตย์

ในการทำงานใดๆ ไม่ว่าจะเป็นลูกจ้าง หรือนายจ้าง ควรจะรับฟังความคิดของผู้ร่วมงานเสมอ การเปิดใจรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น คือเป็นการเพิ่มประสบการณ์อื่นเป็นความรู้ นอกเหนือจากที่ได้รับมาจากการเอาเปรียบผู้อื่น ไม่ใช่ความสำเร็จที่แท้จริง

----------------------------------------------------------- โพธิ์พงษ์ ล่ำซำ

ที่ชอบเป็นพิเศษ คือคำพูดของซุนวู่ ที่บอกว่า รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ผมฟังปุ๊บ รู้สึกประทับใจทันที และเข้าใจว่า คนเราถ้าอยู่ใกล้ใคร มักอยากเป็นแบบนั้น ตอนนั้นจำได้ว่าผมอยากเป็นนักเขียนมาก แต่ที่ได้รับคำแนะนำ ว่าถ้าคุณอยากเขียนหนังสือจงเริ่มต้นจากสิ่งที่คุณรู้ก่อนเป็นอันดับแรก

----------------------------------------------------------- อมรเทพ ดีโรจนวงศ์

ก่อนจะขึ้นปีใหม่ขอฝากเรื่องให้อ่านเล่น ๆ อีก 1 เรื่อง เคยอ่านเจอในหนังสืออยู่เล่มนึง มีอยู่ว่า ชาวนาจีนแก่ ๆ คนหนึ่งเดินไปตามถนน บนบ่ามีมีไม้พาดอยู่ และที่ปลายไม้นั้นก็มีหม้อดินใส่แกงจืดเต้าหู้ผูกห้อยไว้ ขณะที่เดินไป เขาเกิดสะดุดก้อนหิน และหม้อดินก็หล่นลงกระทบพื้นแตกกระจัดกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ชาวนาผู้เฒ่าคนนี้ก็ก้มหน้าก้มตาเดินต่อไป โดยไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ ชายหนุ่มคนหนึ่งที่เห็นเหตุการณ์รีบวิ่งมาหา แล้วพูดด้วยความตื่นเต้นว่า “นี่ ๆ พ่อเฒ่า ท่านไม่รู้หรือว่าหม้อดินหล่น” ชายชราหันไปตอบว่า “ฉันรู้ ฉันได้ยินเสียงมันหล่นอยู่” ผู้อ่อนอาวุโสมีสีหน้าประหลาดใจเมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้น “อ้าว แล้วทำไมท่านไม่ย้อนกลับไปทำอย่างใดอย่างหนึ่งล่ะ” สีหน้าของผู้เฒ่ายังเป็นปกติขณะที่ตอบชายหนุ่มด้วยคำพูดที่หนักแน่นชัดเจนว่า “ก็หม้อดินมันแตกแล้ว แกงจืดก็ไม่เหลือ แล้วจะให้ฉันทำอะไรอีกล่ะ” พูดจบชายชราผู้มากด้วยประสบการณ์ชีวิตก็ย่างเท้าก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง วันวานนี้สิ้นสุดลงตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว ทุก ๆ วันคือจุดเริ่มต้นใหม่ เรียนทักษะของการลืมอดีต แล้วก้าวไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจ. **************************************************************************************






วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553

ทุนทางปัญญา ( Intellectual Capital )
จากภาวะวิกฤตทางการเงินที่เกิดขึ้นทั่วโลกใน ขณะนี้ แต่ละประเทศพยายามหาวิธีการในการแก้ไขปัญหา จนทำให้เกิดวลีที่นิยมมากวลีหนึ่ง คือ เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ (Creative Economy) และผลจากการนำเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์มาใช้ในการแก้ปัญหา ปราก ฎว่า มีแนวโน้มในทางที่ดี หลายประเทศประสบผลสำเร็จ เกินความคาดหมาย อาทิเช่น ประเทศ เกาหลี แต่ไม่ทราบว่า มีใครได้เข้าใจในความหมายได้ลึกซึ้งเพียงใด จึงขอยก คำจำกัดความของ Creative Economy แต่ละประเทศ ดังนี้
UNCTAD

“วงจรของการสร้างสรรค์ การผลิต และการจำหน่ายสินค้าและบริการที่มีปัจจัยหลักคือความคิดสร้างสรรค์และทุนทาง ปัญญา (Intellectual Capital) ”

ประเทศ อังกฤษ โดย จอห์น ฮอกิ้น กูรูด้านเศรษฐกิจ และเจ้าของผลงานหนังสือ Creative Economy ชาวอังกฤษ

“ เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ หมายถึง แนวคิดที่จะสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งต่อภาคการผลิต บริการ ภาคการขาย หรือแม้แต่อุตสาหกรรมบันเทิง เป็นแนวคิดที่อยู่บนการทำงานแบบใหม่ ที่มีปัจจัยหลักมาจากความสามารถ และทักษะพิเศษของบุคคล "มันเป็นระบบเศรษฐกิจใหม่ที่มีกระบวนการนำเอาวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี่มารวมเข้าด้วยกัน ก่อให้เกิดอุตสาหกรรมความคิดสร้างสรรค์ ( Creative Industry ) หรือ อุตสาหกรรมเชิงวัฒนธรรม ( Culture Industry ) ”

ประเทศ ไทย โดยสภาพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ

“เศรษฐกิจสร้างสรรค์ คือ แนวคิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจบนพื้นฐานของการใช้องค์ ความรู้ (Knowledge) การ ศึกษา (Education) การสร้าง สรรค์งาน (Creativity) และ การใช้ทรัพย์ทางปัญญา (Intellectual Property) ที่เชื่อมโยงกับพื้นฐานทางวัฒนธรรม การสั่งสมความรู้ทางสังคม และ เทคโนโลยี / นวัตกรรมสมัยใหม่ ”

ดังนั้นผู้เขียนจึงขอกล่าวถึง ทุนทางปัญญา หรือ Intellectual Capital เพื่อให้มีส่วนในการเข้าใจถึง เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ได้มากขึ้น เพราะเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์จะมีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหาภาวะ วิกฤตทางการเงินในปัจจุบัน
ความหมายของทุนทางปัญญา (Intellectual Capital)
ศจ.ดร.จีระ หงศ์ลดารมภ์ กล่าวไว้ว่า

“ ทุนทางปัญญา ( Intellectual Capital) หมายถึง ความสามาถในการคิดเป็น วิเคราะห์ เป็น และการนำไปสร้างมูลค่าเพิ่ม บุคคล ที่จบปริญญา มีทุนมนุษย์ (Human Capital) ใช่ว่าจะมีทุนทางปัญญา เสมอไป คนที่มีการศึกษาไม่สูง แต่ สามารถมีทุนทางปัญญาได้ ถ้ารู้จักในการแสวงหาความ รู้อย่างต่อเนื่อง และ สามารถที่จะนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับมาสร้างมูลค่าเพิ่มได้ ”
ที่มา:http://cms.sme.go.th/cms/c/journal_articles/view_article_content?article_id=02-TIPS-131109&article_version=1.0

วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553


การติดต่อสื่อสารครบวงจร (Unified Communication)

การติดต่อสื่อสารครบวงจร หมายถึง เครือข่ายเทคโนโลยีที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารซึ่งมีการรวมรูปแบบการติดต่อ สื่อสารต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน วัตถุประสงค์ของการติดต่อสื่อสารครบวงจรคือ การทำให้การดำเนินงานทางธุรกิจมีประสิทธิภาพสูงสุด และเพิ่มศักยภาพในการติดต่อสื่อสารของมนุษย์โดยลดค่าใช้จ่ายในการจัดการระบบ การติดต่อสื่อสาร การควบคุมระบบการติดต่อสื่อสารและช่วยลดข้อจำกัดของอุปกรณ์ที่หลากหลายในการ ติดต่อสื่อสาร


การติดต่อสื่อสารแบบครบวงจรเป็นการติดต่อสื่อสารที่ประกอบด้วยภาพ เสียง และข้อมูล โดยทำการผนวกรวมระบบงาน (System) สื่อที่ใช้ในการสื่อสาร (Media) อุปกรณ์ (Device) ทั้งแบบที่มีสาย ไร้สายและพกพา รวมถึง ระบบสารสนเทศทางธุรกิจต่างๆ ที่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเข้าด้วยกัน การติดต่อสื่อสารครบวงจรเป็นการรวบรวมการติดต่อสื่อสารทุกรูปแบบของมนุษย์ และอุปกรณ์การสื่อสารต่างๆ ให้เป็นหนึ่งเดียว (Unified) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการติดต่อสื่อสารให้กับองค์กร

บริการในการติดต่อสื่อสารครบวงจร

การติดต่อสื่อสารครบวงจร ประกอบด้วยบริการในด้านการติดต่อสื่อสารในหลายรูปแบบ เช่น ระบบโทรศัพท์ (Telephone), ข้อมูลภาพและเสียง (Video), อีเมล์, ข้อความเสียง (Voice Mail), Short Message Services (SMS), Instant Messaging และ การใช้กระดานเสมือน (Whiteboarding) การให้บริการต่างๆ ข้างต้นเป็นการทำงานร่วมกันแบบ Real Time
บริการสำคัญๆ ที่เครือข่ายการติดต่อสื่อสารครบวงจรสามารถให้บริการและตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้
• Video Conferencing เครือข่ายการติดต่อสื่อสารครบวงจรที่สามารถให้บริการ Video Conferencing ผ่านเครื่องโทรศัพท์ที่เป็นระบบ IP Telephony โดยการใช้บริการผ่านทางหน้าจอของตัวเครื่องโทรศัพท์ ซึ่งการใช้งานสามารถที่จะโต้ตอบกันในแบบ Real Time ได้ และยังรวมไปถึงความสามารถในการมองเห็นภาพของผู้ที่อยู่ฝั่งอื่น การใช้ไฟล์ร่วมกัน และการใช้กระดานเสมือน “Whiteboard” ร่วมกัน โดยผู้ใช้ทุกคนสามารถเขียนบันทึก หรือวาดรูปต่างๆ ลงบนกระดานนี้ ในขณะที่คนอื่นก็สามารถมองเห็นได้ด้วย
• Softphone การติดต่อสื่อสารครบวงจรที่ใช้เครือข่ายในการติดต่อสื่อสารด้วย IP Protocol ดังนั้นจึงมีโปรแกรมที่สามารถใช้งานบนเครื่องคอมพิวเตอร์แทนเครื่องโทรศัพท์ ได้ การใช้งานลักษณะนี้ ถูกเรียกกันว่า Softphone ซึ่งการใช้งานด้วยลักษณะนี้จะช่วยลดข้อจำกัดเรื่องสถานที่ในการใช้บริการ โทรศัพท์ภายในเครือข่ายการติดต่อสื่อสารครบวงจรและผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องมี เครื่องโทรศัพท์ในระบบ


• Unified Messaging เป็นการรวมสื่อหรือตัวกลางหลายๆ อย่างเข้าด้วยกัน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถรับหรือส่งข้อมูลที่เป็นทั้งเสียงพูด แฟกซ์ และอีเมล์ จากอุปกรณ์เพียงตัวเดียว ซึ่งอุปกรณ์ตัวนี้อาจจะเป็นโทรศัพท์มีสาย โทรศัพท์ไร้สาย เครื่องคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์จำพวก PDA กล่าวโดยสรุปแล้ว Unified Messaging นั้นจะมาช่วยรวบรวมจุดที่ผู้ใช้เชื่อมต่อกับ Voice-Mailbox Email หรืออุปกรณ์สำหรับรับ-ส่งข้อความอื่นๆ ซึ่งอาจมีอยู่หลายจุด หลายวัตถุประสงค์เข้าด้วยกัน เพื่อให้มีการเข้าถึงได้โดยใช้จุดเพียงจุดเดียวเท่านั้น Unified Messaging เป็นเหมือนกับตัวแทนส่วนบุคคลของแต่ละผู้ใช้งาน โดยจะช่วยรับ-ส่งข้อความไม่ว่าจะอยู่ในรูปของเสียงพูด แฟกซ์ หรืออีเมล์ นอกจากนี้ยังสามารถเตือนได้ด้วย ถ้าหากมีอีเมล์มาถึง ด้วยแนวคิดที่ต้องการการเข้าถึงข้อมูลทุกที่ ทุกเวลา และจะเก็บข่าวสารนั้นๆ ไว้ ซึ่งผู้ใช้จะติดต่อเพื่อเข้าถึงข้อความได้เมื่อต้องการ ผู้ใช้สามารถลดจำนวนเวลาและช่องทางที่จะต้องติดต่อเพื่อตรวจเช็คข้อความที่ จะเข้ามาในรูปของเสียงพูด แฟกซ์ หรืออีเมล์ โดยการติดต่อผ่าน Single Interface กับทุกๆ ชนิดของข้อความ



• Interactive Collaboration ผู้ใช้บริการในเครือข่ายระบบติดต่อสื่อสารครบวงจรสามารถใช้เครื่องโทรศัพท์ ในระบบ IP Telephony โดยติดต่อกันด้วยตัวอักษร (Text) และเสียงในขณะ Online ทั้งคู่ มีลักษณะเดียวกันกับ Instant Messaging แต่มีประสิทธิภาพเหนือกว่า ซึ่งสามารถวางแผนงานต่างๆ ด้วยกันในขณะที่คุยกันได้



• Interactive Voice Response (IVR) เป็นระบบโทรศัพท์ตอบรับอัตโนมัติซึ่งสามารให้บริการกับลูกค้าและผู้ที่ เกี่ยวข้องในองค์กรได้โดยอัตโนมัติ ผู้ใช้งานอาจต้องการทำรายการต่างๆ ผ่านทางโทรศัพท์ เช่น Phone-Banking ซึ่งผู้ใช้จะต้องโทรเข้ามาที่อุปกรณ์ IVR นี้ แล้วอุปกรณ์จะแปลงสัญญาณโทรศัพท์ (Tone) ให้เป็นข้อมูลซึ่งส่งต่อไปยังระบบสารสนเทศปลายทางของระบบได้
• Web Services ผู้ใช้งานสามารถที่จะเรียกการใช้งานเพื่อดูข้อมูลผ่านเครื่องโทรศัพท์ใน ลักษณะของ Web site ที่พัฒนาขึ้นมาโดยเฉพาะไม่ว่าจะเป็นในกลุ่มในองค์กร หรือระหว่างองค์กร ด้วยความสามารถของระบบที่สามารถส่งผ่านข้อมูลได้ การใช้งานในลักษณะนี้จึงสามารถที่จะกำหนดให้ผู้ใช้งานใดๆ ได้มีการถึงโปรแกรมร่วมกัน ซึ่งจะทำให้การทำงานขององค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้น อาจจะมีการประยุกต์ใช้ในลักษณะของโปรแกรมที่จัดเก็บ และใช้ร่วมกัน เช่น ข้อมูลที่อยู่ลูกค้า ปฏิทินการปฏิบัติงานของแต่ละบุคคล ข้อมูลของลูกค้า โดยผู้ใช้สามารถเรียกเข้าเว็บไซต์ เพื่อสอบถามรายละเอียดต่างๆ ที่บันทึกร่วมกัน
• Others Applications ทำให้เกิดระบบสารสนเทศต่างๆ ขึ้นมากมายที่สามารถอำนวยความสะดวกในการทำงาน เช่น การใช้ระบบ Voice mail, Web enabled call center, หรือการนำเอา Policy service





ที่มา : http://www.vcharkarn.com/varticle/41403



ปัจจัยที่ทำให้โลกเป็นถิ่นที่อยู่อาศัย


โลกเป็นดาวเคราะห์ดวงเดียวในระบบสุริยะที่มีสิ่งมีชีวิตเหตุใดจึงเป็นเช่นปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ยังไม่ค้นพบสิ่งมีชีวิตบนดาวดวงอื่น แต่สันนิษฐานว่าดาวอังคารอาจเคยมีสิ่งมีชิวิตมาก่อน เพราะมีหลักฐานว่าเคยมีน้ำและออกซิเจน และมีความเป็นไปได้ที่อาจมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่บนดวงจันทร์หรือดาวเคราะห์ ดวงอื่น เช่น ดวงจันทร์ไททันของดาวเสาร์ มีบรรยากาศเป็นก๊าซมีเทน อาจมีสิ่งมีชีวิตคล้ายแบคทีเรียโบราณของโลก ดวงจันทร์ยุโรปาของดาวพฤหัสบดี มีแผ่นน้ำแข็งห่อหุ้มพื้นผิวซึ่งเป็นมหาสมุทร อาจมีสิ่งมีชีวิตคล้ายบริเวณขั้วโลก ทั้งนี้นักวิทยาศาสตร์ตั้งข้อสันนิษฐาน โดยใช้บรรทัดฐานของสิ่งมีชีวิตที่เรารู้จักกันบนโลก เช่น มีองค์ประกอบหลักเป็นคาร์บอน และต้องการน้ำเพื่อดำรงชีวิต โดยการพิจารณาปัจจัยต่างๆ ที่เกื้อกูลต่อการดำรงชีวิต ดังนี้


ภาพที่ 1 ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงคลอโรฟิลล์ซึ่งปกคลุมโลก

สิ่งป้องกันภัยจากอวกาศ
อวกาศเป็นสภาพแวดล้อมที่อันตรายภัยธรรมชาติในอวกาศมี 3 ประเภทคือ
1. ประจุไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์หรือ “ลมสุริยะ”
2. รังสีคลื่นสั้นจากดวงอาทิตย์ เช่น รังสีเอ็กซ์ รังสีอัลตราไวโอเล็ต รวมถึง “รังสีคอสมิก” ซึ่งเป็นอนุภาคพลังงานสูงจากดาวระเบิด
3. อุกกาบาตและฝุ่นละอองในอวกาศ ซึ่งโคจรอยู่ในระบบสุริยะ

ดวงอาทิตย์เปรียบเสมือนเตาปฏิกรณ์ปรมาณู ซึ่งส่งประจุอนุภาคพลังงานสูง ซึ่งเราเรียก “ลมสุริยะ” ออกสู่อวกาศทุกทิศทุกทาง อนุภาคเหล่านี้เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต มันเดินทางด้วยความเร็วสูงและปะทะทุกอย่างที่ขวางหน้า ทว่าแก่นชั้นนอกของโลก (Outer core) เป็นชั้นของเหล็กหลอมละลาย ซึ่งหมุนวนด้วยการพาความร้อน (Convection) ทำให้เกิดสนามแม่เหล็กห่อหุ้มโลกไว้ ป้องกันมิให้อนุภาคลมสุริยะผ่านทะลุเข้ามา สิ่งมีชีวิตจึงดำรงอยู่บนพื้นผิวโลกได้ ดังที่แสดงในภาพที่ 2



ภาพที่ 2 สนามแม่เหล็กโลก


นอกจากลมสุริยะแล้ว ดวงอาทิตย์ยังแผ่รังสี มีทั้งที่เป็นประโยชน์และอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต คลื่นสั้นเช่น รังสีเอ็กซ์ และรังสีอัลตราไวโอเล็ต ทำลายเนื้อเยื่อของเซลล์ แต่รังสีคลื่นยาว เช่น รังสีอินฟราเรด ทำให้โลกมีความอบอุ่น โชคดีที่โลกมีบรรยากาศห่อหุ้มไว้ ก๊าซออกซิเจนและก๊าซไนโตรเจนในบรรยากาศชั้นบนสุด ดูดกลืนรังสีเอ็กซ์และรังสีคอสมิกจากอวกาศ ก๊าซโอโซนในบรรยากาศชั้นสตาโตสเฟียส์ดูดกลืนรังสีอัลตราไวโอเล็ต จะสังเกตได้ว่า ในขณะที่สิ่งมีชีวิตวิวัฒนาการตัวเอง ก็จะต้องวิวัฒนาการองค์ประกอบของบรรยากาศควบคู่ไปด้วย (ภาพที่ 3)
ดาวเคราะห์ที่มีมวลสารมาก จะมีแรงโน้มถ่วงมากทำให้บรรยากาศมีความหนาแน่น เมื่ออุกกาบาตขนาดเล็ก หรือฝุ่นจากดาวหางตกลงมา มันจะเสียดสีกับบรรยากาศเกิดความร้อน และถูกเผาไหม้หมดก่อนที่จะตกสู่พื้นโลก อย่างไรก็ตามสิ่งมีชีวิตเคยสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ เพราะดาวหางหรือดาวเคราะห์น้อยตกพุ่งชนโลกหลายครั้งแล้ว นักวิทยาศาสตร์ส่วนมากเชื่อว่า ครั้งล่าสุดคือเมี่อ 65 ล้านปีก่อน ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์


ภาพ ที่ 3 เกราะป้องกันรังสี

พลังงาน

สิ่งมีชีวิตต้องการพลังงานเพื่อใช้ในกระบวนการต่างๆ ในการดำรงชีวิต แหล่งพลังงานที่สำคัญที่สุดคือ แสงอาทิตย์ พืชและแบคทีเรียบางชนิดใช้แสงอาทิตย์ช่วยในการสังเคราะห์อาหาร ทว่าในบางบริเวณที่แสงอาทิตย์ส่องไปไม่ถึง ได้แก่ ใต้พื้นผิวหรือก้นมหาสมุทร สิ่งมีชีวิตสังเคราะห์พลังงานจากกระบวนการทางเคมี เช่น แบคทีเรียใต้มหาสมุทร สังเคราะห์พลังงานจากการย่อยสลายโมเลกุลของกำมะถันและเหล็ก ซึ่งผุดขึ้นมาจากน้ำพุร้อน
ในกรณีของดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างไกล เช่น ดาวพฤหัสบดี หรือดาวเสาร์ ซึ่งแสงอาทิตย์มีพลังงานน้อยมาก สิ่งมีชีวิตสามารถอาศัยแหล่งพลังงานภายในของดาวเคราะห์ เช่น ความร้อนจากแก่นของดาว หรือเคมีจากภูเขาไฟ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า สิ่งมีชีวิตบนดวงจันทร์ของดาวเคราะห์ชั้นนอก มีคุณสมบัติคล้ายสิ่งมีชีวิตในยุคเริ่มแรกของโลก


อุณหภูมิ

อุณหภูมิของพื้นผิวดาวเคราะห์ขึ้นอยู่กับระยะห่างจากดวงอาทิตย์ องค์ประกอบของก๊าซในบรรยากาศ และแหล่งพลังงานความร้อนที่อยู่ภายในดาวเคราะห์เอง ดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ย่อมได้รับพลังงานมากกว่าดาวเคราะห์ที่อยู่ ห่างไกล อุณหภูมิเป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งในการรักษาโครงสร้างของโมเลกุล ถ้าหากอุณหภูมิต่ำเกินไป ปฏิกิริยาเคมีของสิ่งมีชีวิตจะเกิดขึ้นอย่างช้า แต่ถ้าอุณหภูมิสูงเกินไปเซลล์จะถูกทำลาย โมเลกุลของโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตรวมทั้งโครงสร้าง DNA จะถูกทำลายที่อุณหภูมิ 125ºC สิ่งมีชีวิตบนโลกจึงถูกจำกัดอุณหภูมิอยู่ที่ -15 ºC ถึง 125 ºC


บรรยากาศ

นอกจากบรรยากาศจะทำหน้าที่ป้องกันสิ่งมีชีวิตจากภัยอวกาศแล้ว ยังให้ความอบอุ่น เป็นแหล่งพลังงานและธาตุอาหารสำหรับสิ่งมีชีวิตอีกด้วย โลกอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ 150 ล้านกิโลเมตร ทำให้ได้รับพลังงานแสงอาทิตย์ 1,370 วัตต์/ตารางเมตร อย่างไรก็ตามด้วยพลังงานระดับนี้ ทำให้โลกมีอุณหภูมิสูงเพียง -18ºC ซึ่งหมายความว่า น้ำจะดำรงอยู่ในสถานะของแข็งเท่านั้น ในความเป็นจริงโลกเป็นดาวเคราะห์เพียงดวงเดียวที่มีน้ำอยู่ครบทั้งสามสถานะ (ของแข็ง ของเหลว และก๊าซ) ทั้งนี้เนื่องจากบรรยากาศของโลกมีก๊าซเรือนกระจก ได้แก่ ไอน้ำ คาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน เป็นต้น ก๊าซเหล่านี้แม้มีปริมาณรวมกันไม่ถึง 1% ของปริมาณก๊าซทั้งหมด แต่มีคุณสมบัติในการดูดกลืนรังสีอินฟราเรด ทำให้พื้นผิวโลกอบอุ่น อุณหภูมิเวลากลางวันและกลางคืนไม่แตกต่างกันมาก ทำให้สิ่งมีชีวิตดำรงชีพอยู่ได้ ดังที่แสดงในภาพที่ 4


ภาพที่ 4 ภาวะเรือนกระจกช่วยให้โลกอบอุ่น

บรรยากาศมีความสำคัญทางชีวภาพเป็นอย่างยิ่ง สิ่งมีชีวิตต้องปฏิสัมพันธ์กับบรรยากาศ พืชสร้างอาหารและโปรตีน ด้วยการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์และไนโตรเจนในอากาศ เปลี่ยนเป็นอาหารโดยการสังเคราะห์ด้วยแสง สัตว์หายใจนำออกซิเจนไปใช้ในการเผาผลาญอาหาร ดาวเคราะห์ที่มีสิ่งมีชีวิตจำเป็นต้องมีบรรยากาศ ดาวเคราะห์ที่ไม่มีบรรยากาศ เช่น ดาวพุธ และดวงจันทร์ ไม่มีปัจจัยที่เกื้อกูลต่อการดำรงชีวิตได้เลย


น้ำ

โลกเป็นดาวเคราะห์เพียงดวงเดียวที่มีน้ำครบทั้ง 3 สถานะ และเป็นดาวเคราะห์ดวงเดียวที่มีสิ่งมีชีวิต (อาจมีสิ่งมีชีวิตบนดาวดวงอื่น แต่ยังไม่ถูกค้นพบ) น้ำเป็นองค์ประกอบส่วนใหญ่ของสิ่งมีชีวิตบนโลก เนื่องจากน้ำเป็นของเหลว และมีคุณสมบัติเฉพาะตัวที่ต่างจากสารประกอบชนิดอื่น เช่น เป็นตัวทำละลายที่ดี มีความเป็นกรดเบสปานกลาง เซลล์จึงต้องการน้ำในระบบต่างๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นหล่อเลี้ยงเนื้อเยื่อ นำพาความร้อน ถ่ายเทของเสีย หรือเป็นถิ่นที่อยู่อาศัย

ธาตุอาหาร

สิ่งมีชีวิตต้องการธาตุอาหาร ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างพลังงานและพัฒนาโครงสร้างร่างกาย วัตถุดิบที่ใช้มีทั้งที่เป็นสถานะของแข็ง ของเหลว และก๊าซ ดังนั้นดาวเคราะห์ที่เอื้อต่อการสร้างธาตุอาหาร ไม่ควรจะเป็นดาวเคราะห์ที่สงบนิ่งดังเช่น ดาวพุธและดวงจันทร์ แต่ควรจะเป็นดาวเคราะห์ที่มีกิจกรรมการเปลี่ยนแปลงทางเคมีตลอดเวลา เช่น พื้นผิวโลกมีกิจกรรมธรณีแปรสันฐาน (เพลตเทคโทนิก) ก่อให้เกิดการเคลื่อนที่ของเปลือกโลก วัฏจักรหิน และวัฏจักรน้ำ ซึ่งทำให้เกิดการเตรียมวัตถุดิบสำหรับการสร้างธาตุอาหารตลอดเวลา เช่น คาร์บอนไดออกไซด์ กำมะถัน ไนเตรท ฟอสเฟท เป็นต้น




ที่มา : http://www.vcharkarn.com/varticle/41415

5 กฎเหล็กหยุดกินจุบจิบ



สาวคนไหนที่ตั้งปฏิญาณไว้ ว่า "ปีนี้ฉันจะเลิกอ้วน" แล้วยังทำไม่ได้สักที ยกมือขึ้น! นั่นเป็นเพราะคุณยังหยิบของกินตามใจปากกันอยู่หรือเปล่า? หรือยังติดนิสัยกินจุบจิบจนเลิกไม่ได้?



1. กินอาหาร
อันดับแรกคุณสาวๆ ต้องเปลี่ยนทัศนคติการอดอาหาร แล้วกินขนมแทนข้าว เพราะนั่นจะทำให้คุณมี น้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้นซะยิ่งกว่าการกินข้าว 1 จานเสียอีก ฉะนั้นต้องกินอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อ ที่สำคัญ ให้เน้นเป็นอาหารเมนูสุขภาพ เพื่อประโยชน์ที่ดีกับร่างกาย


2. เลือกเครื่องดื่มแทนขนม
เมื่อรู้สึกอยากกินขนมขึ้นมา ให้คุณรีบตรงดิ่งไปในครัว แล้วหยิบใบชาสมุนไพรมาชงกินแทน นอกจากจะช่วยให้คุณลดความอยากกินได้แล้ว ชาสมุนไพรยังเป็นเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพ เพราะไม่มีสารคาเฟอีน แต่ถ้าอยากเพิ่มรสชาติให้อร่อยมากขึ้น แนะนำให้ใส่น้ำผึ้งแทนน้ำตาลจะดีที่สุด



3. งานอดิเรก
สำหรับสาวคนไหนที่อยู่ว่าง อยู่เฉยเป็นไม่ได้ ต้องหยิบคว้าขนมเข้าปากอยู่เรื่อย WP ขอแนะนำให้คุณหากิจกรรมที่ทำให้มือของคุณไม่อยู่เฉยอย่างเช่น การถักนิตติ้ง หรือถักโครเชต์ เพราะนอกจากจะทำให้คุณมีงานอดิเรก ยังช่วยเพิ่มเสน่ห์ความน่ารักให้ตัวคุณเองอีกด้วย


4. ออกห่างทีวี
เพราะการนั่งหน้าจอทีวีนี่แหละที่ทำให้คุณรู้สึกว่า ต้องทำอะไรสักอย่างนอกเหนือจากนั่งดูเพียงอย่างเดียว ซึ่งคำตอบสุดท้ายก็มักจะลงเอยด้วยการเดินไปตู้เย็น หรือเข้าไปในครัว แล้วควานหาของกินมานั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์ จากนั้นมือก็จะเริ่มหยิบของกินเข้าปากอย่างไม่ทันระวัง พร้อมกับน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว


5. แปรงฟัน
เชื่อหรือไม่ว่า การแปรงฟันหลังกินอาหารเสร็จเรียบร้อยทุกมื้อ จะช่วยให้คุณสาวๆ มีความอยากกินอาหารว่างน้อยลง นับเป็นวิธีง่ายๆ ที่ช่วยทำให้สุขภาพปากดีด้วย





ที่มา:ข้อมูลจาก Woman Plus

http://www.vcharkarn.com/varticle/41438

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ การ Back Up ข้อมูล Computer

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ การ Back Up ข้อมูล Computer


การสำรวจข้อมูลและไฟล์ระบบเอาไว้แต่เนิ่นๆ เป็นสิ่งที่ควรทำหลังจากที่คุณได้ใช้งานคอมพิวเตอร์ไปสักระยะ เพราะมันจะไม่ทำให้คุณต้องมานั่งคอตกในยามที่วินโดวส์ได้รับความเสียหายจน ไม่อาจเข้าไปเอาข้อมูลคืนได้!


ปัญหาระบบวินโดวส์ล่มข้อมูลสูญหาย ไวรัสกล้ำกรายเป็นสิ่งที่เราพบเห็นกันจนชินตา ในปัจจุบันซึ่งผู้ใช้บางคนที่ไม่ทราบวิธีแก้ปัญหาก็ได้แต่ยกเครื่อง ไปที่ร้านซ่อมคอมพ์ และเสีย 300 บาท เพื่อรักษาทุกอาการ! โดยวิธีการปัญหาของร้านพวกนี้ก็คือ หากเข้าไปเอาข้อมูลที่คุณต้องการไม่ได้พวกเขาก็มักจะบอกคุณว่า "ต้องลงวินโดวส์ใ่หม่"จากนั้นก็จัดการโคลนนิ่งวินโดวส์พร้อมโปรแกรมต่างๆ จากฮาร์ดดิสก์ตัวหลักที่ใช้ประจำ ไปยังฮาร์ดดิสก์ของคุณ ใช้เวลาไม่ถึง 20 นาที ก็ได้วินโดวส์พร้อมโปรแกรมคืนมา แต่ทว่าโปรแกรมประเภท Anti Virus หากโคลนนิ่งมาแล้ว เมื่อถึงเวลาต้องอัพเดตแพตช์มันจะไม่สามารถทำได้ เพราะไม่ได้ลงทะเบียนอย่างถูกต้อง ซึ่งทำให้เมื่อใช้ไปนานๆ พอมีไวรัสใหม่ๆ มาโปรแกรม Anti Virus จะไม่มีไฟล์แพตเทิร์นของไวรัสพวกนี้ ผลที่ตามมาก็คือคอมพิวเตอร์ของคุณจะไร้ซึ่งภูมิคุ้มกัน และหากติดไวรัสเข้าละก็ ปัญหาระบบวินโดวส์ล่ม ข้อมูลสูญหาย ก็คงจะเกิดขึ้นได้อีกครั้ง


มาแบ็กอัพข้อมูลกันเถอะ

คุณพร้อมหรือยังสำหรับการแบ็กอัพ? เพราะความเสี่ยงที่ข้อมูลและไฟล์ระบบได้รับความเสียหายจะลดลงหากคุณเริ่มต้น แบ็กอัพตั้งแต่ตอนนี้ โดยที่ไม่ต้องมองหาเครื่องมือหรือโปรแกรมภายนอกมาช่วยเลยก็ยังได้ เพราะวินโดวส์ได้เตรียมมาให้คุณแล้ว หากจะถามว่าการแบ็กอัพข้อมูลและไฟล์ระบบมีประโยชน์อย่างไรบ้าง? อย่างแรกเลยก็คือ คุณสามารถเรียกข้อมูลกลับคืนมาได้ทุกเวลาที่ต้องการ และอย่างที่สองนั้นหากวินโดวส์เกิดล่มขึ้นมาจริงๆ คุณก็มีวิธีรับมือกับมันด้วยตัวเอง นอกจากนั้นหากคุณมั่นแบ็กอัพข้อมูลอยู่เป็นประจำแล้วละก็ระบบคอมพิวเตอร์ของ คุณก็จะมีภูมิคุ้มกันมากขึ้น นั่นก็เพราะว่าคุณได้เตรียมการรับมือกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อเอา ไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว...

ก่อนอื่นเราไปดูกันว่าระบบปฏิบัติการวินโดวส์ที่คุณใช้นั้น มีเครื่องมือหรือยูทิลิตี้อะไรบ้างสำหรับการแบ็กอัพข้อมูลและเรียกาคืนกลับ มา เมื่อต้องการซ่อมแซม (บทความตอนนี้จะอ้างอิงถึงผู้ใช้ Windows XP เป็นหลัก)


System Restore

หนึ่งในโปรแกรมแบ็กอัพและรียกข้อมูลกลับคืน ที่หลายคนมักจะไม่ค่อยใช้งานนั้น ด้วยเหตุผลเดียวที่ว่า "ไม่รู้จะใช้ทำอะไร" เพราะไม่ทราบวิธีการใช้งานนั่นเอง! ซึ่งอันที่จริงแล้วโปรแกรม System Restore ใช้งานง่ายกว่าที่คุณคิดซะอีก เพราะวินโดวส์จะสร้างจุดสำหรับแบ็กอัพเพื่อใช้ในการเรียกข้อมูลกลับคืนให้ เป็นระยะๆ อยู่แล้ว (อัตโนมัติ) ดังนั้น หากวินโดวส์มีปัญหาคุณก็สามารถใช้การ Restore ได้ทันที นอกจากนั้นหากคุณต้องการกำหนดจุดแบ็กอัพเองเพื่อเพิ่มความถี่ก็สามารถทำได้ เช่นเดียวกัน เพียงแต่ต้องเรียนรู้เทคนิคอีกนิดหน่อย ซึ่งไม่ยากเกินไปสำหรับคุณแน่นอน


Backup Utility

สำหรับโปรแกรมตัวที่สองนี้ ค่อนข้างมีสมรรถนะการทำงานที่สูงพอตัว เพราะไมโครซอฟท์ได้เลือกใช้ซอฟต์แวร์ของ VERITAS ซึ่งเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงด้านซอฟต์แวร์โซลูชันและดาต้าเบส Backup Utility ช่วยให้ผู้ใช้ที่ต้องการแบ็กอัพข้อมูลและไฟล์ระบบสามารถทำได้ง่ายขึ้นเพราะ มีโหมดการทำงานอย่าง Wizard ที่เพียงแคคลิ้กเมาส์ตามก็ได้เช่นกัน ซึ่งโปรแกรมก็ได้เตรียมเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ มาให้เพียบรับรองว่าลองใช้ดูแล้วจะรู้ว่าดีจริง!

คุณสามารถใช้โปรแกรม Backup Utility โดยไปที่ Start->All Programs -> Accessories -> System Tools ->Backup

แบ็กอัพข้อมูลด้วยอุปกรณ์ฮาร์แวร์

สำหรับการแบ็กอัพข้อมูลโดยใช้อุปกรณ์นั้น แน่นอนว่าย่อมลดความ เสี่ยงจากการที่ข้อมูลอาจสูญหายได้อีกขั้น นั่นก็เพราะคุณได้สำรองข้อมูลเอาไว้มากกว่าหนึ่งที่ ซึ่งอาจจะไม่ใช่ในฮาร์ดดิสก์เพียงอย่างเดียวอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับแบ็กอัพ ข้อมูลในปัจจุบันก็ได้แก่ฮาร์ดดิสก์แบบติดตั้งภายนอกผ่านพอร์ตยูเอสบี เทปแบ็กอัพ ที่มักจะใช้กับการสำรองข้อมูลขนาดใหญ่ นอกจากนั้นยังมีการใช้แฟลชเมโมรี่ความจุสูง รวมทั้งไมโครไดรฟ์ที่ใช้กับอุปกรณ์โมบายมาแบ็กอัพข้อมูลด้วยเช่นกันซึ่งทำ ให้ข้อมูลสำคัญๆ ของคุณยังคงถูกรักษาเอาไว้ แม้ฮาร์ดดิสก์หลักของระบบจะได้รับความเสียหายก็ตาม ดังนั้น หากคุณมีงบเหลือพอที่จะซื้ออุปกรณ์แบ็กอัพข้อมูลสักชิ้นก็จะดีไม่น้อย!




ที่มา :โดย สลักกฤช โพธิไทร

http://www.vcharkarn.com/varticle/41441